มุมมองการส่งเสริมสมรรถนะทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยจากห้องเรียน HighScope

Student blog — 18/11/2025

Educational
ผู้ปกครองและคุณครูปฐมวัยทุกท่านต่างมีความฝันร่วมกัน นั่นคือการได้เห็นเด็กๆ เติบโตขึ้นเป็นนักสื่อสารที่มั่นใจ รักการอ่าน และสนุกกับการเขียน แต่เส้นทางสู่เป้าหมายนี้อาจไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เคล็ดลับบางอย่างที่มีประสิทธิภาพที่สุดอาจเป็นเรื่องที่เรียบง่าย หรือบางครั้งก็สวนทางกับความเข้าใจเดิมๆ ของเรา

วันนี้คณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะพาผู้อ่านไปสำรวจแนวคิดการส่งเสริมสมรรถนะทางภาษาของห้องเรียนที่ใช้หลักสูตร HighScope ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำอย่างมีชีวิตชีวา การมีปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริงและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ โดยห้องเรียน HighScope จะใช้หลักการและกลยุทธ์หลายประการเพื่อส่งเสริมสมรรถนะทางภาษา การรู้หนังสือ และการสื่อสาร (Langguage, Literacy and Communication) ที่เป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้พัฒนาการสำคัญ (Key Developmental Indicators: KDI) ตามหลักสูตร HighScope โดยผู้ใหญ่ในห้องเรียน HighScope จะตระหนักเกี่ยวกับการส่งเสริมสมรรถนะทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้

1. หน้าที่หลักของภาษาคือการสื่อสารระหว่างผู้คน เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทางสังคม และภาษาช่วยให้เราสร้างและสานต่อความสัมพันธ์ตลอดชีวิต เด็กทารกและเด็กวัยเตาะแตะจะสื่อสารด้วยเสียง การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และคำพูด เด็กวัยอนุบาลใช้ภาษาเพื่อทำให้ตนเองเข้าใจในตัวหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ที่น่าสนใจซึ่งพวกเขาพบเจอในทุกๆ วัน แม้ว่าเด็กฐมวัยจะยังอ่านไม่ได้ แต่พวกเขาก็ตระหนักว่าตัวอักษรเหล่านี้มีความหมายและต้องการใช้มันเพื่อสื่อสาร ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ใหญ่จะต้องมุ่งเน้นไปยังสิ่งที่เด็กพยายามจะสื่อสารออกไปมากกว่าความถูกต้องของวิธีการที่พวกเขากำลังพูดหรือเขียนถึงสิ่งนั้น

2. ภาษา การรู้หนังสือ และทักษะการสื่อสารพัฒนาขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเรียนรู้ที่จะพูด อ่าน และเขียนไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันเพียงครั้งเดียว แต่ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ซ้ำ ๆ กับการสนทนา การอ่านหนังสือที่เด็กสนใจ และการเล่น ซึ่งภาษาจะเติบโตจากง่ายไปซับซ้อน เช่น จากการพูดคำเดียวไปสู่ประโยคที่ซับซ้อน

3. ภาษา การรู้หนังสือ และการสื่อสารพัฒนาผ่านปฏิสัมพันธ์ ภาษาเป็นกระบวนการที่มีปฏิสัมพันธ์เชิงโต้ตอบ (interactive process) มากกว่าการเป็นทักษะที่มีมาแต่กำเนิด หรือเป็นพฤติกรรมที่เรียนรู้ที่เกิดจากการเลียนแบบอย่างเคร่งเครียด ด้วยเหตุนี้ เด็กปฐมวัยจึงต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ให้การสนับสนุนในการเรียนรู้และได้ใช้ทักษะทางภาษาเพื่อทดสอบตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ส่วนสำคัญของสภาพแวดล้อมนี้ คือ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งเป็นช่องทางที่การเรียนรู้ภาษาเกิดขึ้น เด็ก ๆ มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเชี่ยวชาญทักษะทางภาษาและการรู้หนังสือ เมื่อพวกเขาได้อยู่ร่วมในสภาพแวดล้อมที่ให้คุณค่ากับการสื่อสารด้วยวาจาและลายลักษณ์อักษร พวกเขาเรียนรู้ที่จะพูด อ่าน และเขียนเพื่อสื่อสารกับคนสำคัญในชีวิตของพวกเขา

4. สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมภาษา การรู้หนังสือ และการสื่อสาร มักจะเต็มไปด้วยเสียงและความมีชีวิตชีวา เนื่องจากการพัฒนาทางภาษาเป็นกระบวนการแบบโต้ตอบ บรรยกาศที่เด็กได้พูดคุยอย่างอิสระเกี่ยวกับประสบการณ์ ความสนใจ หรือความต้องการของตนเอง

ในห้องเรียน HighScope จะเต็มไปด้วยเสียงบทสนทนาของเด็กอย่างต่อเนื่องและมีชีวิตชีวาในช่วงเวลาต่างๆ ของกิจวัตรประจำวัน ได้แก่ ทักทายยามเช้า (Greeting Time) กลุ่มใหญ่ (Large Group Time) กลุ่มย่อย (Small Group Time) วางแผน (Planning Time) ลงมือปฏิบัติ (Work Time) ทบทวน (Recall Time) กลางแจ้ง (Outside Time) อีกทั้ง การตั้งความคาดหวังให้เด็กเงียบขณะทำกิจกรรมและมีผู้ใหญ่เป็นผู้พูดส่วนใหญ่ในห้องนั้น ไม่เพียงแต่ยับยั้งการพัฒนาภาษาเท่านั้น แต่ยังกีดกันเด็กจากความต้องการพื้นฐานในการสื่อสารด้วย ดังนั้น บรรยากาศการสนทนาในห้องเรียน HighScope ระหว่างเด็กด้วยกันและ/หรือระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่จึงไม่ถูกกำหนดหรือให้ทำไปเพียงเพราะเป็นหน้าที่เท่านั้น

นอกจากนี้ องค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเรียนรู้แบบ Active Learning ของหลักสูตร HighScope ที่ระบุไว้สำหรับการออกแบบการเรียนรู้และเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่จะต้องตระหนัก คือ ภาษาและความคิดที่มาจากเด็ก (Child Language and Thought) โดยจะต้องเปิดโอกาสให้เด็กๆ สร้างและแสดงความคิดเห็นในคำพูดของตนเอง การพัฒนาภาษาไม่ใช่กระบวนการที่เงียบแต่เป็นกระบวนการที่มีเสียงดังอย่างมีชีวิตชีวาที่เต็มไปด้วยการลงมือทำ การพูด การหัวเราะ การสงสัย การถกเถียง และการค้นพบ

ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ผู้ปกครอง ครูปฐมวัย และผู้ใหญ่ทุกคน สามารถนำมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปประยุกต์ใช้ได้สะดวกขึ้น ผู้เขียนได้สรุปเคล็ดลับการส่งเสริมสมรรถนะทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยจากมุมมองของห้องเรียนที่ใช้หลักสูตร HighScope ดังนี้

เคล็ดลับข้อที่ 1: เรียนรู้ภาษาไม่ใช่การ “สอน” แต่คือการ “สนทนา” และปล่อยให้เด็กเป็นผู้นำการสนทนา
ผู้ใหญ่ส่วนมากมักคิดว่าการถามคำถามปลายเปิดเยอะๆ คือ การกระตุ้นความคิดที่ดีที่สุด แต่หลักสูตร HighScope กลับเสนอแนวทางที่ลึกซึ้งกว่า นั่นคือ การสร้าง “การสนทนาที่แท้จริง” (real conversations) โดยมีจุดสำคัญคือ ผู้ใหญ่ควรปล่อยให้เด็ก เป็นผู้นำในการสนทนา และผู้ใหญ่ควรลดการถามคำถามให้น้อยที่สุด เหตุผลก็คือ ภาษาไม่ได้พัฒนาจากการตอบคำถาม แต่มาจากการมีปฏิสัมพันธ์ที่เหมือน “เกมโต้ตอบ” (interactive game) เมื่อเด็กเป็นผู้นำบทสนทนา พวกเขาไม่ได้แค่แสดง ความคิด แต่กำลังเรียนรู้จังหวะการให้และรับ (give-and-take) ซึ่งเป็นหัวใจของการสื่อสารของมนุษย์ เด็กจะได้ทดสอบและพัฒนาทักษะภาษาในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสนับสนุนความคิดของตนเองอย่างแท้จริง แทนที่จะพยายามหา “คำตอบที่ถูก” ให้กับผู้ใหญ่

เคล็ดลับข้อที่ 2: หยุดแก้คำผิด แล้วหันมาฟังสิ่งที่เด็กพยายามจะสื่อสาร
เมื่อเด็กพูดผิดไวยากรณ์ หรือขีดเขียนตัวอักษรกลับด้าน สัญชาตญาณแรกของผู้ใหญ่ คือ การเข้าไปแก้ไขให้ถูกต้อง แต่แนวทางของหลักสูตร HighScope แนะนำให้ผู้ใหญ่อย่างพวกเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ในเรื่องการสื่อสาร รู้จักยับยั้ง ควบคุมตนเอง และไม่รีบร้อนแก้คำผิดให้ถูกต้องโดยทันทีทันใด เพราะหัวใจหลักของภาษา คือ การสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์

สิ่งที่ผู้ใหญ่ในห้องเรียน HighScope ควรตระหนักคือ “ผู้ใหญ่จำเป็นต้องใส่ใจกับสิ่งที่เด็กกำลังพยายามสื่อสารมากกว่าความถูกต้องของวิธีการพูดหรือเขียน” หลักการนี้ครอบคลุมทั้งการพูดและการพยายามเขียนในระยะแรกของเด็ก (เช่น การขีดเขียน หรือการสะกดคำตามเสียงที่ได้ยิน) เมื่อผู้ใหญ่มุ่งความสนใจไปที่ “ความหมาย” ที่เด็กต้องการจะสื่อออกมา เรากำลังส่งสารหรือแสดงให้เด็กได้รับรู้ว่าความคิดของพวกเขามีคุณค่า แนวทางนี้ช่วยสร้างความมั่นใจและส่งเสริมให้เด็กกล้าที่จะสื่อสารมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำผิดพลาดแล้วถูกตำหนิ

เคล็ดลับข้อที่ 3: ห้องเรียนและบ้านไม่จำเป็นต้องมีตัวหนังสือติดเต็มเหมือนวอลล์เปเปอร์
ผู้ใหญ่บางคนอาจเชื่อว่าการจัดสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ (print-rich environment) คือ การติดป้ายหรือตัวอักษรให้ได้มากที่สุด แต่สำหรับห้องเรียนในหลักสูตร HighScope กลับมีมุมมองที่แตกต่างและลึกซึ้งกว่านั้น กล่าวคือ สภาพแวดล้อมที่อุดมด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ได้หมายถึงห้องที่เต็มไปด้วยวอลล์เปเปอร์ชนิดตัวอักษร เนื่องจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพต้องมี จุดมุ่งหมายและเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่มีไว้เพื่อการตกแต่ง แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่เด็กๆ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวันเพื่อบรรลุเป้าหมายได้จริง โดยสื่อสิ่งพิมพ์ควรทำหน้าที่ 4 ประการ ดังนี้
  • เพื่อให้และรับข้อมูล เช่น ป้ายบอกพื้นที่เล่นต่างๆ หนังสือข้อมูลเกี่ยวกับไดโนเสาร์ หรือตารางกิจวัตรประจำวัน
  • เพื่อแสดงความคิดและความเห็น เช่น บทกวีเกี่ยวกับต้นไม้ที่เด็กๆ ช่วยกันแต่ง หรือสมุดรวมเพลงโปรดของห้องเรียน
  • เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ เช่น การ์ดเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิด จดหมายขอบคุณคุณครู หรือรายชื่อลำดับการใช้คอมพิวเตอร์
  • เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ เช่น เมนูอาหารในมุมร้านอาหาร สูตรทำขนมง่ายๆ หรือตารางเวรทำความสะอาด
นอกจากนี้ สื่อสิ่งพิมพ์ควรอยู่ในระดับสายตาของเด็กและต้องสามารถ “สัมผัส” ได้ เช่น การมีตัวอักษร 3 มิติ ที่ทำจากไม้หรือกระดาษแข็ง ให้เด็กๆ ได้หยิบจับ สัมผัสและสำรวจ

เคล็ดลับข้อที่ 4: ต้นแบบที่ดีที่สุดคือตัวผู้ใหญ่ที่สนุกกับการอ่าน
นอกเหนือจากการอ่านหนังสือให้เด็กฟังแล้ว สิ่งที่ทรงพลังไม่แพ้กันคือการที่เด็กได้เห็นผู้ใหญ่ “ใช้และสนุกกับสื่อสิ่งพิมพ์” ด้วยตนเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การอ่านหนังสือเล่มโปรด แต่คือการแสดงให้เด็ก ๆ เห็นถึงความสุขและความพึงพอใจที่ผู้ใหญ่ได้รับจากการอ่านและเขียน

เมื่อผู้ใหญ่แสดงออกอย่างจริงใจเกี่ยวกับความสุขที่ได้รับจากการเปิดหนังสือเพื่อไป ผจญภัยกับตัวละคร สำรวจเวลาหรือสถานที่ หรือ เข้าสู่จินตนาการของนักเขียน ความเพลิดเพลินใน การหาคำตอบที่อยากรู้ การเรียนรู้วิธีการทำบางสิ่งบางอย่าง หรือ การเผชิญหน้ากับความคิดใหม่ๆ ประสบการณ์เหล่านี้จะ “ถ่ายทอดความรู้สึกอันทรงพลังเกี่ยวกับคุณค่าของการรู้หนังสือ” ให้กับเด็กๆ โดยตรงและเป็นธรรมชาติที่สุด

บทสรุป
การส่งเสริมสมรรถนะทางภาษา การรู้หนังสือ และการสื่อสารในเด็กเล็ก ไม่ใช่เรื่องของการฝึกฝนที่เคร่งเครียด แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์และการมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย แนวคิดทั้ง 5 ข้อจากห้องเรียน HighScope เป็นสิ่งเตือนใจผู้ใหญ่ว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ การรับฟังเด็กๆ อย่างตั้งใจ การให้คุณค่ากับความพยายามในการสื่อสารของพวกเขา และการเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาอย่างมีความสุข

ดังนั้น ในการทำกิจวัตรประจำวันครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารว่างหรือการจัดของเล่นเข้าที่ ผู้เขียนอยากจะชวนคุณครู พ่อแม่ผู้ปกครอง และผู้ใหญ่ทุกคน ลองคิด ออกแบบ หรือปรับเปลี่ยนเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ช่วงเวลานั้นกลายเป็นการสนทนาที่แท้จริงและช่วยต่อยอดภาษาให้ลูกหรือนักเรียนของพวกเรา

ผู้เขียน: อาจารย์ ดร.กิตติศักดิ์ เกตุนุติ

แหล่งอ้างอิง

Epstein, Ann S. (2012). Language, Literacy and Communication: The HighScope preschool curriculum. Ypsilanti, MI: HighScope Press.

📱สนใจสมัครเรียนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ:
– คณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
– โทร: 02-6976664-5
– เว็บไซต์: https://ece.utcc.ac.th
– Facebook: https://www.facebook.com/EarlyChildhoodUTCC
– Instagram: ece.utcc
– TikTok: ece.utcc

#อยากเป็นครู #ศึกษาศาสตร์ #ม.เอกชน #ครูปฐมวัย #ครูอนุบาล #เรียนต่อปริญญาตรี #UTCC #การศึกษาไทย

แชร์บทความนี้

หลักสูตร

คณะการศึกษาปฐมวัย

*

** คุณสมบัติผู้ขอกู้ กยศ.

*

** คุณสมบัติผู้ขอกู้ กยศ.