วิธีทำให้ครูสอนได้ดี นักเรียนเรียนรู้ได้จริง – แนวคิดจาก OECD เพื่อการศึกษาไทย
Student blog — 07/08/2025

ปลดล็อกการศึกษาไทย กุญแจสู่การจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
จากรายงาน Unlocking High‑Quality Teaching (OECD, 2025) มีประเด็นที่อยากแชร์ให้กับผู้บริหารสถานศึกษาและครู ประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากต้องก้าวข้ามการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ขั้ว “เชิงรุก (Active)” กับ “เชิงรับ (Passive)” ให้ได้ก่อน และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงเป้าหมายที่อยากจะสร้างให้เกิดกับนักเรียน ก่อนเลือกวิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ และต้องจัดการเรียนรู้ให้ท้าทายความสามารถนักเรียน โดยผู้นำในโรงเรียนสามารถสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ (Features of a supportive school environment) ได้ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ปัจจัยต่าง ๆ ในโรงเรียนที่ช่วยให้ครูสอนได้ดี และการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ดังนี้
1) ความเข้าใจผู้เรียน (Understanding the learners)
เปรียบเหมือนการที่โรงเรียนและครูรู้จักนักเรียนแต่ละคนจริง ๆ ไม่ใช่แค่ชื่อหรือเกรด
เปรียบเหมือนการที่โรงเรียนและครูรู้จักนักเรียนแต่ละคนจริง ๆ ไม่ใช่แค่ชื่อหรือเกรด
- การเข้าใจว่านักเรียนแต่ละคนมีพื้นฐานมาจากไหน (ครอบครัว วัฒนธรรม สังคม) มีความรู้เดิมอะไร ชอบอะไร สนใจอะไร มีความต้องการพิเศษไหม มีอุปสรรคในการเรียนรู้หรือเปล่า
- การเข้าใจนักเรียนอย่างรอบด้านนี้ จะช่วยให้ครูออกแบบการสอนที่ตรงกับความต้องการและพื้นฐานของนักเรียนได้ดีขึ้น
- การมีส่วนร่วมกับผู้ปกครองและชุมชนก็เป็นส่วนหนึ่งของการรู้จักผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น
2) การจัดสรรครูให้กับผู้เรียน (Allocating teachers to learners)
- การจัดการเรื่องครูคนไหนสอนห้องไหน ชั้นไหน และมีนักเรียนกี่คนในห้อง มีความสำคัญ
- ขนาดชั้นเรียน ห้องเรียนที่ใหญ่มาก ๆ อาจทำให้ครูดูแลนักเรียนได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องทำงานกลุ่ม หรือการพูดคุยแบบรายบุคคล
- องค์ประกอบชั้นเรียน การจัดกลุ่มนักเรียนที่มีพื้นฐานหรือความสามารถหลากหลายในห้องเดียวกัน อาจทำให้ครูต้องปรับการสอนให้ซับซ้อนขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้รับความท้าทายที่เหมาะสม
- ความต่อเนื่อง การที่ครูได้สอนนักเรียนกลุ่มเดิมต่อเนื่องหลายปี อาจช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนและสร้างความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น ทำให้สอนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ครูผู้ช่วย การมีครูอีกคน หรือผู้ช่วยครูในห้องเรียน หรือการสอนเสริม ก็ช่วยสนับสนุนครูในการดูแลนักเรียนได้ทั่วถึงขึ้น
3) การกำหนดว่าจะเรียนรู้อะไร เมื่อไหร่ และที่ไหน (Delineating what, when and where students learn)
- การวางแผนเรื่อง หลักสูตร ตารางเรียน และพื้นที่/อุปกรณ์การเรียน (เคยมีอดีตผอ.ผู้นำท่านนึงที่ผมนับถือกล่าวว่าเป็นงานที่ผอ.ต้องทำด้วยตนเอง)
- หลักสูตร เนื้อหาที่สอนต้องชัดเจน ไม่มากเกินไปจนครูสอนไม่ทัน และควรมีความยืดหยุ่นบ้าง เพื่อให้ครูนำแนวปฏิบัติบางอย่างมาใช้ได้ เช่น การสอนทักษะชีวิต หรือการเชื่อมโยงเนื้อหากับสิ่งที่นักเรียนสนใจ
- เวลาเรียน การจัดตารางเรียน ความยาวของคาบเรียน มีผลต่อการทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องใช้เวลานาน เช่น การทดลอง หรือโครงการต่าง ๆ
- สื่อการสอนและอุปกรณ์ โรงเรียนควรมีอุปกรณ์การเรียน สื่อการสอน ทั้งแบบหนังสือ อุปกรณ์จริง หรือเครื่องมือดิจิทัล ที่เพียงพอและหลากหลาย ช่วยให้ครูอธิบายเนื้อหาได้ง่ายขึ้น และนักเรียนเรียนรู้ได้ดีขึ้น
- พื้นที่เรียนรู้ ลักษณะของห้องเรียน พื้นที่ต่าง ๆ ในโรงเรียน มีผลต่อรูปแบบการสอนและการทำกิจกรรม เช่น ห้องเรียนที่จัดพื้นที่ให้ทำงานกลุ่มได้สะดวก หรือมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมพิเศษ
4) การให้โอกาสในการวางแผนและการทำงานร่วมกันทางวิชาชีพ (Providing opportunities for planning and professional collaboration)
- โรงเรียนให้เวลาและสนับสนุนให้ครูได้วางแผนการสอน และทำงานร่วมกันกับเพื่อนครู
- เวลาวางแผน ครูต้องการเวลาเพื่อคิด ออกแบบการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนและเนื้อหา
- ทำงานร่วมกัน การที่ครูในกลุ่มสาระเดียวกัน หรือครูต่างวิชา ได้มาประชุม แลกเปลี่ยนความคิด แชร์สื่อการสอน หรือช่วยกันแก้ปัญหาเกี่ยวกับนักเรียนและเนื้อหาที่สอน จะช่วยพัฒนาทักษะและเพิ่มประสิทธิภาพในการสอนของครู
5) การกำหนดวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมโรงเรียนที่ชัดเจน (Setting a clear school vision and ethos)
- คือ เป้าหมาย ค่านิยม และบรรยากาศโดยรวมของโรงเรียน รวมถึงกฎ ระเบียบ และความคาดหวังที่มีต่อทุกคนในโรงเรียน
- วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนช่วยกำหนดทิศทางการสอน
- วัฒนธรรมโรงเรียนที่ส่งเสริมการเคารพซึ่งกันและกัน ความปลอดภัย และการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด มีผลอย่างมากต่อบรรยากาศในห้องเรียนและความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน
- นโยบายเกี่ยวกับวินัยและพฤติกรรมนักเรียนที่ชัดเจนและสอดคล้องกันทั่วทั้งโรงเรียน ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนี้ ช่วยให้ครูจัดการชั้นเรียนได้ง่ายขึ้น
6) การใช้ข้อมูลและการวิจัยเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา (Using data and research to drive improvements)
- การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียน (เช่น ผลสอบ บันทึกความก้าวหน้า) และ ใช้ผลการวิจัย เพื่อดูว่าการสอนแบบไหนได้ผลดี เพื่อนำมาปรับปรุงการเรียนการสอน
- การมีระบบข้อมูลที่ช่วยให้ครูเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อนของนักเรียน จะช่วยให้ครูปรับการสอนได้ตรงจุด
- การส่งเสริมให้ครูติดตามงานวิจัยใหม่ๆ และนำมาประยุกต์ใช้ ก็เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาโรงเรียน
7) การเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้อื่น ๆ (Connecting with other learning environments)
- การที่โรงเรียน ทำงานร่วมกับคนหรือองค์กรนอกโรงเรียน เช่น การร่วมมือกับผู้ปกครอง ชุมชนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย หรือเครือข่ายโรงเรียนอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หาแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม หรือจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ในห้องเรียนกับโลกภายนอก
อ้างอิง Unlocking High-Quality Teaching | OECD OECD (2025), OECD Publishing, Paris
📱สนใจสมัครเรียนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ:
– คณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
– โทร: 02-6976664-5
– เว็บไซต์: https://ece.utcc.ac.th
– Facebook: https://www.facebook.com/EarlyChildhoodUTCC
– Instagram: ece.utcc
– TikTok: ece.utcc
#อยากเป็นครู #ศึกษาศาสตร์ #ม.เอกชน #ครูปฐมวัย #ครูอนุบาล #เรียนต่อปริญญาตรี #UTCC #การศึกษาไทย
ผู้เขียน : อาจารย์ภูริทัต ชัยวัฒนกุล สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
แชร์บทความนี้